ประวัติชุมชน บัวใหญ่


บัวใหญ่
พื้นที่อำเภอบัวใหญ่เดิม มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน จากหลักฐานทางโบราณสถานและโบราณวัตถุที่พบกระจัดกระจายอยู่ในเขตพื้นที่เป็นจำนวนมาก อาทิ บ่อไก่แก้วปรางค์ บ้านสีดา ที่อำเภอสีดา ปราสาทนางรำ ที่อำเภอประทาย ปรางค์กู่ที่บ้านกู่ ต.ดอนตะหนิน เครื่องภาชนะดินเผาพบที่บริเวณบ้านบัวใหญ่ กำไรสำลิดและไหหินพบที่บริเวณบ้านจาน เสมาหินทรายที่บ้านเสมาใหญ่ เทวรูปสำริดที่ขุดพบจากพื้นที่หลายแห่ง ภาชนะดินเผาบรรจุกระดูก ฝังเรียงรายทับซ้อนลงไปเป็นชั้น ๆ เป็นจำนวนมาก ซึ่งเคยขุดพบที่บ้านหนองไอ้แหนบ บ้านหญ้าคา และหลังสุดขุดพบไหหรือหม้อดินเผาที่บรรจุกระดูกเป็นจำนวนมากที่เนินดินท้ายหมู่บ้านกระเบื้อง เมื่อ พ.ศ. 2545 ซึ่งมีภาชนะบรรจุกระดูกนับพันไห เจ้าหน้าที่ที่ดำเนินการขาดของทางราชการ ให้ข้อมูลเบื้องต้นว่าน่าจะมีอายุราว 1,500 ปี เป็นประเพณีฝังศพครั้งที่สอง โดยครั้งแรกจะนำศพไปฝังก่อน ภายหลังจะทำการขุดศพมาทำพิธีกรรมอีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงนำโครงกระดูกบรรจุลงหม้อดินเผาฝังบรรจุในสุสาน หลักฐานทั้งหลายเหล่านี้ทำให้น่าเชื่อว่าพื้นที่อำเภอบัวใหญ่เป็นที่ตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัยของมนุษย์มาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ มีอายุไม่น้อยกว่า 4,000 ปีมาแล้ว ร่องรอยทางประวัติศาสตร์เหล่านี้คือแหล่งความรู้ที่ทำให้ประชาชนอำเภอบัวใหญ่ในปัจจุบันสืบสานรับวัฒนธรรมเหล่านั้น มาเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีถ่ายทอดมาจนถึงยุคปัจจุบัน
ในยุครัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 3 ราว พ.ศ. 2390 ในสมัยพระกำแหงสงคราม(แก้ว) เป็นเจ้าเมืองนครราชสีมา ได้ตั้งด่านเพื่อระวังศัตรูตรวจตรารักษาความสงบ และทำหน้าที่เก็บส่วยสาอากร (ภาษี) มีด่านทองหลาง ด่านชวน ด่านจาก ด่านกระโทก ด่านขุนทด โดยเฉพาะ “ด่านนอก” เป็นด่านนอกสุดของเมืองนครราชสีมา เพื่อดูแลเขตชายเมือง “ด่านนอก” ซึ่งเป็นด่านสุดท้ายที่อยู่ในเขตพระราชอาณาจักร ส่วนหัวเมืองอื่น ๆ ถัดขึ้นไปทางเหนือนั้นถือเป็นเมืองประเทศราชขึ้นต่อแขวงนครเวียงจันทร์
ที่ทำการของ “ด่านนอก” ตั้งอยู่ที่บ้านทองหลางใหญ่ บนเนินดินริมห้วยกระเบื้อง หลักด่านด้านเหนือสุดของด่านนอก อยู่ที่ริมห้วยเอก ที่หมู่บ้านหลักด่าน
พ.ศ. 2417 เกิดศึกฮ่อเข้ามารุกรานเมืองหนองคาย ทุกหัวเมืองระดมกำลังป้องกันเขตเมืองของตน เมืองนครราชสีมาได้ส่ง “ขุนณรงค์” คุมกำลังพลจาก “ด่านชวน” มารักษาการณ์ที่ “ด่านนอก” นับเป็นนายด่านคนสุดท้าย
  • ราว พ.ศ. 2429 มีการปรับปรุงระบบราชการ “ด่านนอก” ได้ยกฐานะขึ้นเป็น “แขวงด่านนอก” และย้ายสถานที่ทำการแขวงมาอยู่ที่บ้านทองหลางน้อย แขวงมีฐานะเช่นเดียวกับอำเภอ
  • พ.ศ. 2440 หรือ ร.ศ. 116 ทางการได้ประกาศใช้ พ.ร.บ.ลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ. 116 แขวงด่านนอกได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นอำเภอ ชื่ออำเภอ “นอก” ขณะนั้นมณฑลนครราชสีมา มี 10 อำเภอ แต่ที่ทำการยังใช้ที่บ้านทองหลางน้อยเช่นเดิม
  • พ.ศ. 2448 ขุนพลราษฎรบำรุง เป็นนายอำเภอ ได้ยายที่ทำการอำเภอจากบ้านทองหลางน้อยมาตั้งที่ริมบึงบัวใหญ่ (บริเวณที่เป็นที่ตั้งสำนักงานขนส่งจังหวัดนครราชสีมา สาขาอำเภอบัวใหญ่ ในขณะนี้) เพราะมีชัยภูมิที่เหมาะสมมีเส้นทางหลวง (ทางเกวียน)สายนครราชสีมาไปยังมณฑลอุดรตัดผ่าน และมีโรงโทรศัพท์สำหรับการติดต่อราชการตามแนวเส้นทางหลวง แต่ยังคงใช้ชื่อ “อำเภอนอก” อยู่ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเล่าเรื่องเที่ยวในที่ต่าง ๆ คราวตรวจราชการ ที่มลฑลนครราชสีมา – มณฑลอุดร – มลฑลร้อยเอ็ด ความว่า
“ที่บ้านบัวใหญ่นี้ เพิ่งย้ายที่ว่าการอำเภอนอก จากตำบลทองหลางใหญ่ มาตั้งใหม่เมื่อเดือนเมษายน ศก 125 นี้เอง เพราะที่นี่เป็นย่านกลางในการไปมาระหว่างที่ต่าง ๆ และใกล้ทางหลวง ซึ่งเดินทางไปมณฑลอุดร ที่ว่าการอำเภอที่ตั้งใหม่อยู่บนเนินสูง เป็นทำเลเหมาะดี เวลานี้มีหมู่บ้านอยู่ 3 หมู่บ้าน ราษฎร 500 คน มีร้านขายของคืออ้อยเป็นต้น อยู่ 4 – 5 แห่ง แล้วต่อไปราษฎรจะยกมาอยู่อีกมาก การหาเลี้ยงชีพของราษฎรในอำเภอนี้ ส่วนที่ทำกินและซื้อ – ขายกันเองในหมู่บ้าน คือทำนา ทำไร่ ทำไร่ฝ้าย ทำไหม การที่ทำหำหรับขายไปที่อื่น คือ หีบอ้อย ทำน้ำอ้อย หม้อ ผสมโค และเลี้ยงสุกรเป็นมากกว่าอย่างอื่น จำนวนราษฎรทั้งอำเภอนี้ 20,000 คน" นับเป็นเอกสารชิ้นสำคัญทำให้เห็นภาพของอำเภอบัวใหญ่เมื่อร้อยปีก่อน
  • พ.ศ. 2455 เปลี่ยนชื่อ จากอำเภอ “นอก” เป็นอำเภอ “บัวใหญ่” ตามชื่อหมู่บ้าน และบึงบัวใหญ่
  • พ.ศ. 2481 นายอำเภอขุนวัฒน์วิจารณ์ ดำริจะย้ายที่ว่าการอำเภอมายังตลาดเพ็ดเฟื้อย เพราะตลาดเพ็ดเฟื้อยเจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วกลายเป็นชุมชนการค้า เพราะเป็นที่ตั้งของสถานีรถไฟบัวใหญ่และมีทางหลวงแผ่นดินเชื่อมไปจังหวัดชัยภูมิ เป็นแหล่งรวมผลิตผลทางการเกษตร เพื่อส่งเข้าไปยังตลาดเมืองนครราชสีมา และไปยังกรุงเทพมหานคร มีโรงสีไฟขนาดใหญ่เกิดขึ้น มีฉางข้าวขนาดใหญ่ของแม่ริ้ว แม่ฉ่ำ ตั้งอยู่ย่านสถานีรถไฟเพื่อรับซื้อข้าวเปลือกส่งลำเลียงเข้ากรุงเทพฯ ผลิตผลทางการเกษตรอื่น ๆ จากชัยภูมิ จัตุรัส ภูเขียว พุทไธสง หลั่งไหลเข้ามาสู่บัวใหญ่ พ่อค้าและเกษตรกรที่นำผลผลิตมาขายที่บัวใหญ่ จะซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคกลับคืนไป ทำให้มีร้านขายส่งสินค้าอุปโภคบริโภคเกิดขึ้นมากมาย พ่อค้าชาวบัวใหญ่ได้รวบรวมทุนเพื่อจัดซื้อที่ดินยกให้ทางราชการ จำนวน 34 ไร่ แต่ได้ทำการย้ายเพียงสถานีตำรวจ พร้อมบ้านพักตำรวจ 4 หลัง และสุขศาลา 1 หลัง มาก่อสร้างบนที่ดินแปลงดังกล่าว ส่วนที่ว่าการอำเภอยังขาดงบประมาณ จึงชะงักไปหลังจากนายอำเภอขุนวัฒน์วิจารณ์ ย้ายไปดำรงตำแหน่งนายอำเภอเมืองนครราชสีมา
  • วันที่ 1 มีนาคม 2481 แยกพื้นที่ตำบลเมืองคง ตำบลวังโพธิ์ และตำบลตาจั่น อำเภอบัวใหญ่ มาตั้งเป็น กิ่งอำเภอคง ขึ้นกับอำเภอบัวใหญ่ 
  • พ.ศ. 2490 ได้ยกฐานะกิ่งอำเภอคงเป็น “อำเภอคง”
  • พ.ศ. 2491 นายวิชัย หทยะวัฒน์ เป็นนายอำเภอ ได้ตัดสินใจสานต่อโครงการย้ายที่ว่าการอำเภอตามคำเรียกร้องของประชาชน โดยทำเรื่องขอรับความเห็นชอบจากกระทรวงมหาดไทย
  • วันที่ 30 มิถุนายน 2493 ลงมือก่อสร้างที่ว่าการอำเภอแห่งใหม่บนที่ดินที่ได้รับบริจาคตามแบบกรมโยธาธิการ ก่อสร้างแล้วเสร็จ วันที่ 21 พฤศจิกายน 2493 โดยใช้ค่าก่อสร้างจากงบประมาณแผ่นดิน 150,000 บาท และงบบริจาคซึ่งได้รับมาก่อนหน้าและรับบริจาคเพิ่ม รวมงบประมาณทั้งสิ้น 350,000 บาท
  • วันที่ 25 มกราคม 2494 ได้ย้ายเข้าปฏิบัติงานในที่ว่าการอำเภอหลังใหม่
  • วันที่ 12 – 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495 ทำพิธีเปิดป้ายที่ว่าการอำเภออย่างเป็นทางการ และจัดงานเฉลิมฉลอง 3 วัน 3 คืน โดยขุนวรคุตต์คณารักษ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมาเป็นประธานจัดงาน และขุนภักดีดำรงฤทธิ์ข้าหลวงตรวจการกระทรวงมหาดไทย ภาค 3 เป็นประธานพิธีเปิด ในนามของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
  • วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2496 ได้โอนหมู่ 2,3,6,7,9,17 และ 18 (ในขณะนั้น) ของตำบลดอนตะหนิน อำเภอบัวใหญ่ ไปขึ้นกับตำบลเมืองคง อำเภอคง และ โอนหมู่ 8 (ในขณะนั้น) ของตำบลดอนตะหนิน อำเภอบัวใหญ่ ไปขึ้นกับตำบลตาจั่น อำเภอคง 
  • ในช่วง พ.ศ. 2498 มีมติคณะรัฐมนตรี ในรัฐบาลของจอมพล ป.พิบูลย์สงคราม ให้ยกฐานะอำเภอบัวใหญ่ เป็นจังหวัดปทุมทอง โดยรวมอำเภอพุทไธสง จ.บุรีรัมย์ เข้ามาขึ้นต่อจังหวัดปทุมทองด้วย เพราะขณะนั้นการเดินทางจากอำเภอพุทไธสง เข้าไปจังหวัดบุรีรัมย์ ต้องรอนแรมมาขึ้นรถไฟที่สถานีบัวใหญ่ ไปค้างคืนที่เมืองนครราชสีมา แล้วจึงต่อรถไฟไปบุรีรัมย์ การยกฐานะบัวใหญ่เป็นจังหวัดในครั้งนั้น โดยการผลักดันของ นายเลื่อน พงษ์โสภณ ส.ส. จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีอยู่ในรัฐบาลของจอมพล ป.พิบูลย์สงคราม แต่การตั้งจังหวัดในขณะนั้น ต้องใช้งบประมาณถึง 500 ล้านบาท เนื่องจากยังขาดงบประมาณส่วนนี้ จึงได้ชะลอไว้ก่อน เรื่องนี้จบลงพร้อมกับรัฐบาลของจอมพล ป.หลังถูกรัฐประหารในปี 2500
  • วันที่ 31 สิงหาคม 2498 จัดตั้งสุขาภิบาลบัวใหญ่ ในท้องที่บางส่วนของตำบลบัวใหญ่ 
  • วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2500 จัดตั้งเทศบาลตำบลบัวใหญ่ โดยยกฐานะจากสุขาภิบาลบัวใหญ่ 
  • วันที่ 1 ธันวาคม 2501 ตั้งตำบลโนนทองหลาง แยกออกจากตำบลบัวใหญ่ ตั้งตำบลบึงพะไล แยกออกจากตำบลแก้งสนามนาง ตั้งตำบลห้วยยาง ออกมาจากตำบลด่านช้าง ตั้งตำบลกระทุ่มราย แยกออกจากตำบลวังหิน ตั้งตำบลหนองหว้า แยกออกจากตำบลบัวลาย และ ตั้งตำบลหนองพลวง แยกออกจากตำบลประทาย 
  • วันที่ 1 มกราคม 2504 แยกพื้นที่ตำบลประทาย ตำบลโนนเพชร ตำบลวังหิน ตำบลโนนตาเถร ตำบลกระทุ่มราย และตำบลหนองพลวง อำเภอบัวใหญ่ มาตั้งเป็น กิ่งอำเภอประทาย ขึ้นกับอำเภอบัวใหญ่ 
  • วันที่ 15 มิถุนายน 2504 ตั้งตำบลสีดา และ ตำบลโพนทอง แยกออกจากตำบลกุดจอก 
  • วันที่ 17 กรกฎาคม 2506 ยกฐานะเป็น อำเภอประทาย 
  • วันที่ 20 พฤศจิกายน 2507 จัดตั้งสุขาภิบาลหนองบัวลาย ในท้องที่บางส่วนของตำบลบัวลาย 
  • วันที่ 15 กันยายน 2515 ตั้งตำบลหนองบัวสะอาด แยกออกจากตำบลห้วยยาง 
  • วันที่ 16 กันยายน 2517 ตั้งตำบลเสมาใหญ่ แยกออกจากตำบลดอนตะหนิน 
  • วันที่ 28 กันยายน 2519 ตั้งตำบลโนนจาน แยกตำบลตำบลบัวลาย และ ตั้งตำบลสีสุก แยกออกจากตำบลบึงพะไล 
  • วันที่ 18 ตุลาคม 2519 ได้แยกพื้นที่ตำบลบ้านเหลื่อม ตำบลวังโพธิ์ และตำบลโคกกระเบื้อง มาตั้งเป็น กิ่งอำเภอบ้านเหลื่อม ขึ้นกับ อำเภอคง 
  • วันที่ 1 กันยายน 2521 ตั้งตำบลสามเมือง แยกออกจากตำบลกุดจอก 
  • วันที่ 1 สิงหาคม 2522 ตั้งตำบลโนนสำราญ แยกออกจากตำบลแก้งสนามนาง และ ตั้งตำบลขุนทอง แยกออกจากตำบลด่านช้าง 
  • วันที่ 6 กันยายน 2528 ตั้งตำบลหนองตาดใหญ่ แยกออกจากตำบลสีดา 
  • วันที่ 7 มกราคม 2529 ได้แยกพื้นที่ตำบลแก้งสนามนาง ตำบลโนนสำราญ ตำบลบึงพะไล และตำบลสีสุก มาตั้งเป็น กิ่งอำเภอแก้งสนามนาง ขึ้นกับอำเภอบัวใหญ่ 
  • วันที่ 6 กรกฎาคม 2530 ตั้งตำบลเมืองพะไล แยกออกจากตำบลหนองหว้า 
  • วันที่ 1 มกราคม 2531 ยกฐานะเป็น อำเภอบ้านเหลื่อม 
  • วันที่ 1 เมษายน 2532 ได้แยกพื้นที่ตำบลโนนแดง ตำบลโนนตาเถร ตำบลสำพะเนียง และตำบลวังหิน มาตั้งเป็น กิ่งอำเภอโนนแดง ขึ้นกับอำเภอประทาย พร้อมกับโอนสุขาภิบาลโนนแดง มาขึ้นกับ กิ่งอำเภอโนนแดง 
  • วันที่ 13 มิถุนายน 2532 จัดตั้งสุขาภิบาลสีดา ในท้องที่บางส่วนของตำบลสีดา ตำบลสามเมือง และตำบลโพนทอง 
  • วันที่ 1 กรกฎาคม 2533 ตั้งตำบลโนนประดู่ แยกออกจากตำบลโพนทอง 
  • วันที่ 4 พฤศจิกายน 2536 ยกฐานะเป็น อำเภอแก้งสนามนาง และ อำเภอโนนแดง 
  • วันที่ 15 พฤศจิกายน 2536 ตั้งตำบลหนองแจ้งใหญ่ แยกออกจากตำบลบัวใหญ่ ตำบลหนองบัวสะอาด และตำบลโนนทองหลาง 
  • วันที่ 1 กรกฎาคม 2540 ได้แยกพื้นที่ตำบลเมืองพะไล ตำบลโนนจาน ตำบลบัวลาย และตำบลหนองหว้า มาตั้งเป็น กิ่งอำเภอบัวลาย ขึ้นกับอำเภอบัวใหญ่ พร้อมกับโอนสุขาภิบาลหนองบัวลาย มาขึ้นกับ กิ่งอำเภอบัวลาย  และ ได้แยกพื้นที่ตำบลสีดา ตำบลโพนทอง ตำบลโนนประดู่ ตำบลสามเมือง และตำบลหนองตาดใหญ่ มาตั้งเป็น กิ่งอำเภอสีดา ขึ้นกับอำเภอบัวใหญ่ พร้อมกับโอนสุขาภิบาลสีดา มาขึ้นอยู่กับกิ่งอำเภอสีดา 
  • วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2547 ยกฐานะจากเทศบาลตำบลบัวใหญ่ เป็น เทศบาลเมืองบัวใหญ่ 
  • วันที่ 8 กันยายน 2550 ยกฐานะเป็น อำเภอสีดา และ อำเภอบัวลาย 
เนื่องจากความกว้างใหญ่ของเขตการปกครองและความเจริญก้าวหน้าทางด้านเศรษฐกิจทำให้อำเภอบัวใหญ่ได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว และได้แบ่งแยกเขตการปกครองออกเรื่อยมาตั้งแต่ พ.ศ. 2480 จนถึงปัจจุบัน อำเภอบัวใหญ่ได้แยกเขตการปกครองออกเป็น 7 อำเภอ (คง บ้านเหลื่อม ประทาย โนนแดง แก้งสนามนาง บัวลาย และ สีดา) ซึ่งเคยมีพื้นที่กว่า 2,000 ตารางกิโลเมตร ปัจจุบันคงเหลือพื้นที่เพียง 548 ตารางกิโลเมตร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น